 
	      	
		
	
	
	วันที่: 2010-09-18 22:23:11.0
GLUTATHIONE
It’s role in cancer & anticancer therapy
บทบาทสำคัญของกลูตาไธโอนในโรคมะเร็ง และการบำบัดมะเร็ง
Dr. Jimmy Gutman MD,FACEP
“ทำไม ร่างกายของเราจำเป็นต้องมีกลูตาไธโอนอย่างเพียงพอ สารสำคัญนี้สามารถช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง พร้อมทั้งลดผลข้างเคียงจากการใช้เคมีบำบัด และรังสีบำบัดได้อย่างไร”
กลูตาไธโอน คืออะไร
-  กลูตาไธโอน (Glutathione)  เป็นชีวโมเลกุลขนาดเล็กที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ  และเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น  การทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)  การกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune booster)  และการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย (Detoxifier) ด้วยเหตุนี้  กลูตาไธโอนจึงมีความสำคัญยิ่งยวดต่อการดำเนินชีวิต  หากร่างกายขาดสารกลูตาไธโอนเซลของเราจะแตกสลายจากการทำงานของอนุมูลอิสระ จำนวนมหาศาล ร่างกายจะสูญเสียภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และมะเร็ง  ตับจะวายจากการสะสมของสารพิษนานาชนิดในเวลาอันรวดเร็ว
-  กลูตาไธโอน  คือชื่อของผู้พิทักษ์เซลที่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย  แม้แต่แพทย์ส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับกลูตาไธโอนมาแล้วบ้าง  แต่ก็มีน้อยคนที่เข้าใจและตระหนักถึงบทบาทสำคัญของสารตัวนี้  กลูตาไธโอนกำลังจะกลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดูแลสุขภาพ  เช่นเดียวกันกับการรับประทานวิตามินและการควบคุมระดับคลอเรสเตอรอล และ ณ  บัดนี้ก็ได้มาถึงคราวของกลูตาไธโอน  ดังจะเห็นได้จากงานวิจัยทางการแพทย์ที่ถูกตีพิมพ์เกี่ยวกับสารนี้ภายใน 5  ปีที่ผ่านมา ที่มีมากถึง 25,000 ฉบับ  และผลการค้นคว้าเหล่านี้กำลังช่วยส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับกลูตาไธโอนให้ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
-  เซลในร่างกายของเราทุกๆเซลมีหน้าที่สร้างกลูตาไธโอนขึ้นเองตามความต้องการ  และจำเป็นต้องมีสารตั้งต้นในการสร้างที่พอเพียง  ในแต่ละวันร่างกายมีความต้องการใช้กลูตาไธโอนเป็นจำนวนมากและอัตราการใช้จะ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อร่างกายประสบกับสภาวะที่ท้าทายต่อสุขภาพต่างๆ เช่น  การเจ็บป่วย ความเครียด ความเหนื่อยล้า หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย  ปัจจัยต่างๆ ที่สามารถนำไปสู่ภาวะบกพร่องของกลูตาไธโอนในร่างกาย  นอกจากนี้ระดับกลูตาไธโอนจะลดลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น และการเกิดโรคต่างๆ  ในร่างกายที่มักเกิดขึ้นในวัยสูงอายุ  มักพบว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับการขาดกลูตาไธโอนทั้งสิ้น
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการลดระดับของกลูตาไธโอนภายในเซล
1. มละภาวะแวดล้อม
2. ยาและสารเคมี
3. รังสีและคลื่นความร้อน
4. การบาดเจ็บ แผลไหม้
5. การติดเชื้อ
6. ความเครียด
7. ความชรา
8. ทุพโภชนาการ
    ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดการสูญเสียกลูตาไธโอนภายในเซล ส่งผลให้เกิดการเสื่อมถอยของเซล การเกิดโรค และการเสียชีวิต
“การ มีระดับกลูตาไธโอนต่ำ จะนำไปสู่ความเสื่อมของร่างกายก่อนวัย การเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต การเพิ่มระดับกลูตาไธโอนให้ร่างกายจะช่วยหยุดยั้งวงจรนี้ได้”
Adapted from Kidd&Huber, “Natural Antioxidants - First Line of Defense”, 1991
เพราะเหตุใดกลูตาไธโอนจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพ
     บทบาทที่สำคัญ 3 ประการภายในร่างกายของคนเราของกลูตาไธโอน  สามารถสรุปได้ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษสามตัว คือ A-I-D  ซึ่งเป็นอักษรย่ิของกระบวนการทางชีวภาพต่างๆ ที่ถูกขับเคลื่อนโดยกลูตาไธโอน  ได้แก่ Antioxidant (สารต้านอนุมูลอิสระ) Immune booster  (การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน) และ Detixifier (การขับสารพิษออกจากร่างกาย)
ยอดแห่งสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (The Master Antioxidant)
     กว่า 30 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยทั่วโลกได้ทำการศึกษาคุณประโยชน์ต่างๆ  ของสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนเรา  ซึ่งรวมถึงบทบาทในการรักษาและป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากการทำลาย โดยอนุมูลอิสระ (Oxidative stress) ด้วยเหตุนี้เอง ชีววิทยาด้านอนุมูลอิสระ  (Free radical biology)  ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงใหม่จึงได้เกิดขึ้น และมีการพบว่า  อนุมูลอิสระเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่  โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และความชรา
     วิตามินC, วิตามินE และเซเลเนียม  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่คนส่วนใหญ่รู้จักดี และใช้กันอย่างกว้างขวาง  เนื่องจากสารเหล่านี้พบอยู่ในธรรมชาติ มิได้เกิดขึ้นเองภายในเซล  คนเราจึงต้องอาศัยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อรับวิตามิน และเกลือแร่เหล่านี้เข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ  เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสุขภาพ  จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า  ร่างกายของเราสามารถผลิตสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดได้เอง  และหนึ่งในบรรดาสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกายก็คือ  กลูตาไธโอน เพราะการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ  ล้วนต้องขึ้นอยู่กับระดับกลูตาไธโอนภายในเซล นัำกวิทยาศาสตร์จึงขนานนาม  กลูตาไธโอนว่าเป็น “ยอดแห่งสารต่อต้านอนุมูลอิสระ”
อาหารของระบบภูมิคุ้มกัน (Food for the Immune System)
     หน้าที่หลักของระบบภูมิคุ้มกันคือ  รับรู้และบ่งบอกชนิดของเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามาในร่างกาย และทำลายเชื้อโรค  รวมทั้งสารแปลกปลอมอื่น ตลอดจนเซลมะเร็ง  ร่างกายที่มีปริมาณกลูตาไธโอนเพียงพอ  จะสามารถควบคุมปริมาณและการแพร่กระจายของเชื้อโรค  และกำจัดเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว  การมีกลูตาไธโอนในระดับสูงจะส่งผลให้ร่างกายสามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้มาก ตามความจำเป็น  โดยเม็ดเลือดขาวนี้เองคือด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายใช้ในการปก ป้องจากภัยคุกคามจากภายนอก
     กลูตาไธโอนมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งกับระบบภูมิคุ้มกัน Dr. Gustavo  Bounous ผู้เชี่ยวชาญด้านกลูตาไธโอน ได้กล่าวว่า “ระดับของกลูตาไธโอน คือ  ปัจจัยที่กำหนดประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว ชนิดลิมโฟไซด์  (Lymphocytes)” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  การแบ่งตัวเพื่อระดมกำลังพลและการทำงานของเซลเม็ดเลือดขาว  ขึ้นอยู่กับระดับของกลูตาไธโอนที่มีอยู่ในร่างกาย หรืออาจสรุปได้ว่า  กลูตาไธโอนเปรียบเสมือนอาหารของระบบภูมิคุ้มกัน นั้นเอง
การขจัดพิษออกตามธรรมชาติ (Natural Detoxifier)
     ทุกๆวัน  เราทุกคนล้วนสูดหายใจและบริโภคสารพิษนานาชนิดทั้งที่เป็นสารธรรมชาติ  และสารสังเคราะห์  ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในสังคมยุคปัจจุบันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  เนื่องจากต้องอยู่ท่ามกลางมลพิษในเมืองและบริโภคอาหารที่เป็นผลผลิต จากกระบวนการอุตสาหกรรม  หากร่างกายของเรามีสุขภาพมีสุขภาพดีและได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทาง โภชนาการอย่างเพียงพอ  ร่างกายจะสามารถทำงานเพื่อกำจัดสารพิษออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน  แต่ระดับมลพิษที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ในสิ่งแวดล้อมจะส่งผลให้ปริมาณกลูตาไธโอนลดลงอย่างรวดเร็ว  อวัยวะหลักในการกำจัดพิษของร่างกายคือ ตับ  ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีกลูตาไธโอนในระดับสูง  จากการศึกษาพบว่าการมีระดับกลูตาไธโอนต่ำในตับส่งผลให้การทำงานของตับลดลง  และนำไปสู่การมีระดับสารพิษที่ไหลเวียนในร่างกายเพิ่มขึ้นจนก่อให้เกิดความ เสียหายต่อเซลและความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ   คุณสมบัติของกลูตาไธโอนในการกำจัดพิษนี้เป็นเหตุให้แพทย์เลือกใช้ยาที่มี คุณสมบัติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอน  เพื่อช่วยในการขจัดสารพิษในผู้ป่วยที่รับประทานยาแก้ปวดบางชนิด เช่น  ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เกินขนาด
กลูตาไธโอน กับการแพทย์ธรรมชาติบำบัด
     ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การแพทย์บูรณาการ (Complementary medicine)  ได้สนับสนุนการใช้ milk thistle ในการรักษาโรคตับมาเป็นเวลานาน  ซึ่งต่อมาได้มีการพบว่า  พืชชนิดนี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มกลูตาไธโอนให้ร่างกายได้ในระดับหนึ่ง  นอกจากนี้ยังพบว่า แร่ธาตุเซเลเนียม  เป็นสารอีกชนิดที่สามารถกระตุ้นการทำงานและเพิ่มระดับกลูตาไธโอนได้เช่นกัน  โดยการเข้าไปรวมตัวกับเอมไซม์ Glutathione peroxidase
กลูตาไธโอน กับการแพทย์แผนปัจจุบัน
     แพทย์แผนกฉุกเฉิน นักพิษวิทยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดและตับ  มักคุ้นเคยกับการใช้กลูตาไธโอนในการรักษา  แพทย์ชาวอเมริกันที่ต้องการเพิ่มระดับกลูตาไธโอนให้คนไข้  สามารถค้นหาข้อมูลจากหนังสืออ้างอิงยาของแพทย์ (Physician’s Desk  Reference:PDR) ซึ่งชี้แจงวิธีที่สามารถเพิ่มระดับกลูตาไธโอนไว้ 2 มาตราการ  ได้แก่ ยา NAC (n-acetyl cysteine) ซึ่งมีจำหน่ายภายใต้ชื่อยี่ห้อ Mucosil  และ Mucomyst หรือผลิตภัณฑ์ Immunocal (HMS 90)  ซึ่งเป็นเวย์โปรตีนสกัดด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตร
ยาที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอน
      สารตัวยาเภสัชภัณฑ์ตามตารางทั้งหมดมีคุณสมบัติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอนให้ ร่างกายได้  อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน  จึงไม่เหมาะสมกับการใช้ในระยะยาว ยาในกลุ่ม NAC (n-acetyl-cysteine)  เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกลูตาไธโอนที่มีประสิทธิภาพสูง  และถูกใช้กันมาเป็นเวลานาน  และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเวชภัณฑ์เสริมสุขภาพทั้งไปในสหรัฐ ยาในกลุ่ม  NAC นี้ยังถูกนำมาใช้เพื่อละลายเมือกบุเนื้อเยื่อ (mucus) ในการรักษาโรคปอด  เช่นโรคพังผืดที่ปอด (cystic fibrosis) โรคปอดอักเสบเรื้อรัง (chronic  bronchitis) และโรคหืดหอบ (asthma) นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้ในการรักษา  ผู้ใช้ยากลุ่ม acetaminophen เกินขนาด  และยังเป็นสารที่นักวิจัยส่วนใหญ่นำไปใช้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่ม ระดับกลูตาไธโอนในคน
     แต่การใช้ยา NAC มีข้อเสีย 2 ประการด้วยกัน ประการแรกเป็นเพราะ NAC  เป็นสารตัวยาสังเคราะห์จึงเสี่ยงกับการเกิดความเป็นพิษขึ้นได้ในร่างกาย  ประการที่สองมาจากการเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็วของระดับกลูตาไธโอนที่ ถูกกระตุ้มโดย NAC (short half life) โดยปริมาณ  กลูตาไธโอนจะเพิ่มถึงระดับสูงสุดแล้วลดลงภายในไม่กี่ชั่วโมง  และมักจะลดสู่ระดับที่ต่ำกว่าปกติ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จึงได้มีการใช้ NAC  แบบฉีดเข้าเส้นเลือดดำ หรือรับประทานอย่างต่อเนื่อง  เป็นจำนวนหลายครั้งต่อวัน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของคนบางคน  และอาจก่อให้เกิด อาการข้างเคียงต่างๆ กับผู้ใช้ ได้แก่ ผื่นคัน หายใจขัด  คลื่นไส้ อาเจียน ตะคริว และท้องเสีย เป็นต้น นอกจากนี้  ผู้ใช้บางรายยังมีปัญหากับการยอมรับกลิ่นและรสชาติ  ถึงแม้ความเสี่ยงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตของการใช้ NAC จะต่ำมาก  แต่ก็ยังพบว่ามีการรายงานการเสียชีวิตจากการใช้สารตัวยา NAC นี้ได้เช่นกัน  แต่ถึงกระนั้น การเพิ่มระดับกลูตาไธโอนด้วย NAC  ก็ยังเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดในการวิจัยทางคลีนิก
     OTC (ornithine decarboxylase; procysteine), OTZ (oxothiazolidine  carboxylate), glutathione monoesters และ glutathione diesters  ล้วนเป็นสารสังเคราะห์ที่มีความสามารถจำกัดในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอน  และยังไม่มีสถิติที่รับรองความปลอดภัยในการใช้
สารที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอน
| ยา Drugs | ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ Natural products | ปัจจัยร่วมของกลูตาไธโอน Glutathione co-factors | 
| NAC | Oral Glutathione | Selenium | 
| SAM | Cysteine | Vitamin B1 | 
| OTC | Methionine | Vitamin B2 | 
| OTZ | Melatonin | Vitamin B6 | 
| Procysteine | Glutamine | Vitamin B12 | 
| Glutathione monoesters | Lipoic Acid | Folate, Folic acid | 
| Glutathione diesters | Silymarin (milk thistle) | Vitamin C | 
| Whey Proteins | Vitamin E | |
| Bioactive Whey Proteins (Immunocal / HMS 90) | Other nutrients | 
ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอน
กลูตาไธโอนชนิดรับประทาน (Oral glutathione)
     กลูตาไธโอนที่นำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในรูปแบบอัดเม็ํดและผง  นั้นไม่มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในร่างกาย  เพราะปริมาณของกลูตาไธโอนส่วนใหญ่จะถูกสลายไปกับน้ำย่อยในกระบวนการย่อย อาหารและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต  นอกจากการรับประทานกลูตาไธโอนจะไม่ช่วยให้ระดับกลูตาไธโอนสูงขึ้นแล้ว  ยังอาจส่งผลให้ปริมาณกลูตาไธโอนภายในร่างกายลดลงอีกด้วย
แอล-ซีสเตอีน (L-Cysteine)
      ซีสเตอีนก็เป็นสารอีกชนิดที่พบได้ทั่วไปในร้านขายเวชภัณฑ์และร้านขายอาหาร เสริมสุขภาพ  ซีสเตอีนมีความสามารถในการเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนภายในเซลได้ในจำนวนที่จำกัด   เนื่องจากซีสเตอีนจะทำปฏิกิริยาทางออกซิเดชั่นเมื่อเดินทางผ่านระบบทางเดิน อาหารและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตได้ยาก  นอกจากนี้วารสารทางการแพทย์ยังได้รายงานถึงความเป็นพิษจากการใช้ซีสเตอีนไว้ อย่างชัดเจน
แอล-เมทไธโอนีน (L-Methionine)
     เมทไธโอนีน เป็นกรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acid)  ที่พบได้ในอาหารหลายชนิดและยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกลูตาไธโอน  แต่เมทไธโอนีนยังเป็นสารตั้งต้นของสารโฮโมซิสเตอีน (homocysteine)  อีกด้วยเช่นกัน  ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ถูกพบว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคการแข็งตัวของ ผนังหลอดเลือดแดง (artherosclerosis)
เมลาโทนิน (Melatonin)
     เมลาโทนินเป็นสารที่ควบคุมวงจรการนอนหลับและการตื่น  ทำให้นิยมนำมาใช้ในการแก้อาการนอนไม่หลับจากการเดินทางข้ามโซนเวลา (Jet  lag) และปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวกับการนอนหลับ  ประโยชน์ของเมลาโทนินนั้นอาจเกิดจากความสามารถในการเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนใน สมอง ตับ กล้ามเนื้อ โลหิต และเนี้อเยื่ออื่นๆ  อย่างไรก็ตามการตอบสนองต่อเมลาโทนินจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน  และยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยของการใช้สารนี้ในระยะยาว  ผู้ที่ต้องการใช้จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือเภสัช
กลูตามีน (Glutamine)
     การรับประทานหรือฉีดสารกลูตามีนทางเส้นเลือดดำ  สามารถเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนได้  แต่ผู้ที่มีสุขภาพปกติไม่มีความจำเป็นต้องบริโภคสารนี้เพิ่มเติม  เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น  การระคายเคืองของระบบทางเดินอาหาร ฉะนั้นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคไตและตับ  ควรใช้กลูตามีนด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ  และการใช้สารกลูตามีนเพื่อการบำบัดทางโภชนาการควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์ เท่านั้น
กรดไลโปอิก (Lipoic acid)
     กรดไลโปอิกเป็นสารธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรา  และสามารถพบได้ตามร้านขายอาหารสุขภาพทั่วๆ  ไปในสหรัฐในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  กรดไลโปอิกมีคุณสมบัติในการช่วยปรับสภาพกลูตาไธโอนหลังจากขจัดอนุมูลอิสระ แล้วซึ่งเป็นสภาพที่ได้ปฏิกิริยาทางออกซิเดชั่นหรือหมดฤทธิ์ (oxidized)  ให้กลับไปอยู่ในสภาพที่พร้อมทำงาน (reduced) ได้อีกครั้ง  อย่างไรก็ตามคุณประโยชน์ของกรดไลโปอิกที่อาจมีต่อสุขภาพในด้านต่างๆยังอยู่ ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย
ซิลลีมาริน (Silybum marianum; silymarin; milk thistle)
     พืชชนิดนี้มีประวัติยาวนานในการนำมาใช้รักษาปัญหาเกี่ยวกับตับ  เนื่องจากคุณสมบัติในการป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน  และในการคงระดับของกลูตาไธโอน แต่ก็มีข้อเสียเนื่องจากผลข้างเคียง เช่น  การเกิดแก๊ส อาการตะคริว และท้องเสีย  ดังนั้นการใช้ซิลลีมารินในการรักษาโรคตับจึงควรกระทำภายใต้การดูแลของแพทย์ เท่านั้น
เวย์โปรตีน (Whey proteins)
เวย์ โปรตีน หรือโปรตีนสกัดจากหางนม  เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนที่พบในนมมารดาและนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อื่นๆ  เวย์โปรตีนที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ถนอมโครงสร้างของโมเลกุลโปรตีนได้อย่าง สมบูรณ์แบบ สามารถนำไปสร้างกลูตาไธโอนได้อีกด้วย
     ผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนหลายชนิดที่โปรโมทให้กับผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ  มีความหลากหลายทั้งในด้านส่วนผสมของผลิตภัณฑ์  ความเข้มข้นของโปรตีนและรูปแบบของโปรตีัน  รวมถึงคุณสมบัติอื่นๆทีมีผลต่อคุณค่าทางชีวภาพ (bioavailability)  ของผลิตภัณฑ์อีกด้วย  หลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดที่เป็นเครื่องวัดคุณภาพของผลิตภัณฑ์อยู่ที่ระดับ การสูญเสียโครงสร้างดั้งเดิมของโมเลกุลโปรตีน (Protein denaturation)  เพราะโปรตีนที่เสื่อมโครงสร้างจะมีประสิทธิภาพการทำงานของชีวโมเลกุลที่ลดลง  ถึงแม้คุณค่าทางโภชนาการจะคงอยู่อย่างครบถ้วนก็ตาม  นอกจากนี้นักโภชนาการยังแสดงความเป็นห่วงต่อปริมาณไขมัน  และน้ำตาลแลคโตสที่พบอยู่สูงในบางผลิตภัณฑ์  ในขณะที่นักโภชนาการอีกหลายคนแสดงความกังวลกับการใช้สารตัวยาอย่างพร่ำ เพรื่อของอุตสาหกรรมผลิตนม โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะและสารสเตียรอยด์  เพื่อกระตุ้นผลผลิตนม  รวมถึงความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของสารพิษจากสิ่งแวดล้อม  ทั้งชนิดที่ละลายในไขมันและละลายในน้ำ
     เวย์โปรตีนที่พบในนมดิบนั้นประกอบไปด้วยโปรตีนย่อย (peptides) ต่างๆ  ที่มีคุณค่าทางชีวภาพสูงและสามารถนำไปใช้ในการสร้างกลูตาไธโอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น lactoferrin, beta-lactalbumin และ serum albumin  ซึ่งล้วนแต่เป็นโมเลกุลที่ถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อนหรือการปั่นกวนที่ รุนแรง  นอกจากนี้การฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์ที่ใช้ความร้อนสูงและกระบวนการอื่นๆที่ ใช้ในอุตสาหกรรม  ล้วนทำลายคุณค่าทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะถึงมือผู้บริโภค
      เพื่อรักษาคุณสมบัติทางชีวภาพของโปรตีนที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกลูต่าไธ โอนไว้อย่างครบถ้วน เวย์โปรตีนจำเป็นต้องถูกสกัดจากน้ำนมอย่างระมัดระวัง  ด้วยกระบวนการผลิตพิเศษที่ต้องมีมาตราการควบคุมอย่างใกล้ชิด  เวยโปรตีนที่ขายกันในท้องตลาดมีปริมาณของโปรตีนในระดับที่แตกต่างกันระหว่าง  20-90% นอกจากนี้ยังแตกต่างกันในด้านส่วนประกอบ  รวมถึงระดับการเสื่อมสภาพทางชีวภาพของโปรตีนที่เป็นสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน   เวย์โปรตีนส่วนใหญ่ที่เน้นขายให้นักกีฬาเพาะกล้ามมักขาดคุณสมบัติทางชีวภาพ นี้
เวย์โปรตีนที่คงคุณค่าทางชีวภาพ (Bioactive whey protein)
     เวย์โปรตีนที่คงคุณค่าทางชีวภาพ  ประกอบไปด้วยโปรตีนย่อยที่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมของโปรตีน (non-denature)  ไว้ในระดับสูง จึงมีคุณสมบัติในการส่งเสริมการผลิตกลูตาไธโอนให้กับร่างกาย  ความรู้ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของเวย์โปรตีนในการเพิ่มระดับกลูตาไธ โอน เป็นผลงานวิจัยของ Dr. Gustavo Bounous ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1980 ณ  มหาวิทยาลัย McGill มอนทรีออล ประเทศแคนนาดา Dr. Gustavo Bounous  ได้ค้นพบคุณสมบัติทางชีวภาพที่มีคุณค่ายิ่งของเวย์โปรตีน  ขณะที่กำลัังทำการศึกษาเกี่ยวกับการใช้โปรตีนในรูปแบบของอาหารเสริม  และได้ทำการวิจัยค้นคว้าถึงผลของการใช้เวย์โปรตีนที่คงคุณค่าชีวภาพในการ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  จนได้ตีพิมพ์ผลงานที่เป็นที่กล่าวขานในวงการวิทยาศาสตร์และโภชนาการ  ผลงานดังกล่าวได้นำไปสู่การสนับสนุนการทำวิจัยการเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในผู้ ป่วยโรคต่างๆ โดยนักวิจัยหลายทีม  และในที่สุดได้นำไปสู่การผลิตสินค้าที่ชื่อ Immunocal ในสหรัฐอเมริกา หรือ  HMS 90 ในแคนนาดา  เวย์โปรตีนที่ผลิตขึ้นด้วยมาตราฐานเภสัชภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทางชีวภาพระดับ สูง
กลูตาไธโอนกับสุขภาพและการเกิดโรค
นัก วิทยาศาสตร์ต่างเชื่อกันว่ากลูตาไธโอนเป็นสารที่มีศักยภาพที่สำคัญในการ บำบัดและป้องกันโรคต่างๆ มากมายหลายร้อยชนิด  ในอนาคตอันใกล้กลูตาไธโอนอาจถูกพิจารณาให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญต่อ สุขภาพ เช่นเดียวกับการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน  การออกกำลังกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพ  ผลจากการศึกษาทางคลีนิกบ่งชี้ว่าระดับกลูตาไธโอนที่สูงขึ้นอาจมีผลต่อการ ป้องกันและควบคุมโรคเรื้อรังและร้ายแรงที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสุขภาพคนเรา ในขณะนี้ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง โรคเบาหวาน  ภาวะคลอเรสเตอรอลสูง โรคหืดหอบ การสูบบุหรี่ โรคไวรัสตับอักเสบ  โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง(เอดส์) และโรคอื่นๆอีกมากมาย  เนื้่องจากกลูตาไธโอนสามารถช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับภัยคุกคามจากโรคต่างๆได้ ตามธรรมชาติ
      คนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถได้รับประโยชน์จากการมีระดับกลูตาไธโอนที่สูง ขึ้นได้ จากความสามารถที่สูงขึ้นในการต่อต้านสารพิษ โรคติดต่อ  เซลที่อาจกลายเป็นมะเร็ง และการเสื่อมจากอายุ การลดลงของระดับกลูตาไธโอน  เป็นผลพวงของการมีอายุสูงขึ้น และพบได้ในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน  และโรคอัลไซมเมอร์
     กลูตาไธโอนยังไม่ความสำคัญต่อคนที่ต้องใช้พลังงานมาก  นักกีฬาระดับโลกหลายคนตระหนักดีว่าการรักษาระดับกลูตาไธโอนให้สูงไว้  จะทำให้มีความได้เปรียบเหนือคู่แข็ง  โดยจะส่งผลให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงและออกกำลังได้ยายนานยิ่งขึ้น  ลดระยะเวลาในการรักษาตัวจากการบาดเจ็บ  ลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและอาการเหนื่อยล้า  ตลอดจนช่วยส่งเสริมขบวนการสร้างกล้ามเนื้อ
สรุป
-  ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังดำเนินการวิจัยและมีการค้นพบบทบาทใหม่ๆ  ที่สำคัญของกลูตาไธโอนอย่งต่อเนื่องในการต้านทานโรค  และการมีสุขภาพที่แข็งแรง  หลักฐานทางคลีนิกพบว่าระดับกลูตาไธโอนที่ต่ำมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรค เรื้อรังต่างๆ ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบันตลอดจนโรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
-  กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติในการพิทักษ์สุขภาพ  โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญของร่างกาย (Antioxidant)  ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Immune System Booster)  และกำจัดสารพิษรวมทั้งสารก่อมะเร็งนานาชนิดออกจากร่างกาย (Detoxifier)  แต่การรับประทานกลูตาไธโอนในรูปอาหารเสริมจะไม่ช่วยให้ร่างกายมีระดับกลูตา ไธโอนที่สูงขึ้น เนื่องจากจะไม่สามารดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดีพอ  วิธีที่ดีที่สุดคือการมอบสารประกอบให้ร่างกายนำไปสร้างกลูตาไธโอนขึ้นเองภาย ในเซล
-   วงการเภสัชได้ทำการผลิตสารตัวยาเพื่อใช้เพิ่มระดับกลูตาไธโอนภายในร่าง กายอย่างได้ผล และมีคุณประโยชน์ ในการรักษาคนไข้กรณีฉุกเฉิน  แต่เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น  จึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ต่อเนื่องระยะยาว และเมื่อไม่นานมานี้  นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธีธรรมชาติในการเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในรูปของอาหาร เสริมที่ปลอดภัย และมีการพิสูจน์ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้  การค้นพบคุณสมบัติพิเศษของเวย์โปรตีน ที่อุดมคุณค่าทางชีวภาพนี้  นับเป็นก้าวสำคัญของวิวัฒนาการของวงการโภชนาการบำบัด
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
บริษัท อิมมูโนไทย จำกัด ด้วยนะครับ
|  | 
|  | 
|  |